บทที่ 3 คุณยายเลี้ยงฆาตกร

เมื่อสมศักดิ์เห็นว่าวรพลไม่ขยับ ก็ไม่กล้าพูดเกลี้ยกล่อมอะไรอีก

ในหัวกลับคิดอย่างรวดเร็วว่าถ้ากาญจนาตายไปจริงๆ เขาควรจะจัดการเรื่องที่ตามมาอย่างไร

สมศักดิ์เงียบไป กาญจนาไม่สามารถคาดหวังให้อรุณีที่ตัวสั่นงันงกอยู่ข้างๆ มาช่วยตัวเองได้

ตอนนี้สิ่งที่เธอทำได้มีเพียงการช่วยตัวเองเท่านั้น

แม้จะดิ้นไม่หลุด แต่อย่างน้อยก็พอมีช่องให้ได้พูด

ดวงตาของกาญจนาจ้องมองชายตรงหน้าตรงๆ แล้วเอ่ยปากขึ้น

“ฆ่าฉันแล้วมีประโยชน์อะไร? คุณสมศักดิ์ก็พูดแล้ว ข้างนอกมีคนจ้องคุณอยู่ตั้งเยอะแยะ ฆ่าฉันมันง่าย แต่เรื่องที่ตามมามันยุ่งยากนะ เห็นไหมล่ะ ต่อให้ฉันตายไปแล้ว คุณก็ยังต้องโดนฉันก่อกวนอยู่ดี”

วรพลคุ้นเคยกับภาพที่กาญจนาคอยเอาอกเอาใจและยอมอ่อนข้อให้ ท่าทีที่กล้าจ้องหน้าตรงๆ แบบนี้หาได้ยาก แต่สายตาที่ลุกโชนของเธอช่างจ้องมองจนน่ารำคาญใจเสียจริง

“เธอคิดว่าฉันวรพลจะกลัวคนพวกนั้นข้างนอกเหรอ? ผู้หญิงอย่างเธอ สมควรตายไปตั้งนานแล้ว”

เมื่อเห็นแรงของเขาเพิ่มขึ้น กาญจนาก็คิดในใจว่า แย่แล้ว

“คุณคิดว่าฉันอยากแต่งงานกับคุณนักหรือไง? เป็นคุณย่าต่างหาก! ท่านสงสารฉัน ถึงได้ให้คุณแต่งงานกับฉัน แต่คุณล่ะ? คุณย่าเพิ่งจากไปไม่นาน คุณก็จะบีบคอฉันให้ตาย ดีเลย งั้นฉันลงไปข้างล่างแล้วจะไปฟ้องท่าน วรพล... ไอ้ฆาตกร!”

ประโยคนี้เป็นความในใจของวรวีร์ ไม่ใช่ของกาญจนา เพราะท้ายที่สุดแล้ว ร่างเดิมนั้นชอบวรพลจริงๆ

แต่แล้วยังไงล่ะ ในเมื่อตัวเองเพิ่งจะได้มีชีวิตใหม่อีกครั้ง ยังไม่ทันได้ทวงความยุติธรรมให้ร่างเดิม ก็กำลังจะถูกบีบคอให้ตายเสียแล้ว

ตอนที่เธอวรวีร์ยังมีชีวิตอยู่ ไม่เคยต้องมาอัดอั้นตันใจขนาดนี้มาก่อน แต่เมื่อคิดว่าตัวเองสามารถเกิดใหม่ได้ ใครจะรู้ว่าหลังความตายอาจจะมีโอกาสอะไรอีกก็ได้

ช่างเป็นแมลงสาบที่ฆ่าไม่ตายจริงๆ

เมื่อคิดได้ดังนั้น วรวีร์ก็หัวเราะออกมา

ในช่วงเวลาที่ตึงเครียดเช่นนี้ เสียงหัวเราะของเธอจึงดูแปลกประหลาดอย่างยิ่ง

วรพลกลับหยุดการกระทำเพราะเสียงหัวเราะของเธอ

“เธอหัวเราะอะไร?”

“ทำไมเหรอ? เห็นฉันใกล้จะตายแล้วยังหัวเราะได้ คุณไม่พอใจมากใช่ไหม? งั้นก็ถูกแล้ว ถ้าคุณไม่มีความสุข ฉันก็มีความสุข ฉันจะหัวเราะนี่แหละ มาสิ บีบคอฉันให้ตายเลย ฉันไม่ได้เจอแม่กับคุณย่ามานานแล้วเหมือนกัน ฉันจะฝากความคิดถึงจากคุณไปให้พวกท่านด้วย”

พูดจบ เธอก็จับมือของวรพลยกขึ้นเล็กน้อย มุมปากประดับด้วยรอยยิ้มสดใส ท่าทางราวกับพร้อมพลีชีพอย่างกล้าหาญ

แรงที่มือบนลำคอค่อยๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกาญจนาแทบจะรักษารอยยิ้มไว้ไม่ไหว

สายตาเริ่มพร่ามัว ทันใดนั้นวรพลก็ปล่อยมือ

“น่าขยะแขยง”

กาญจนาถูกโยนลงบนพื้นเหมือนตุ๊กตาผ้าขี้ริ้ว ไร้ซึ่งความสง่างามเมื่อครู่

เธอสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดอย่างตะกละตะกลาม ทะนุถนอมทุกวินาทีของชีวิตที่ยังเหลืออยู่

เมื่อสมศักดิ์เห็นวรพลปล่อยมือ ก็รู้ว่ากาญจนารอดแล้ว เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก เดินเข้าไปยื่นทิชชูเปียกให้เจ้านายของตน

วรพลรับทิชชูมา เช็ดมือตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า

อรุณีที่ไม่ไ่ด้พูดอะไรมาตลอดก็เอ่ยปากขึ้นด้วยเสียงสั่นเทา

“ขอโทษค่ะท่านประธาน เป็นเพราะฉันกังวลว่าพี่สาวจะขโมยของมีค่ามากเกินไป เลยตรวจช้าไปหน่อย ถึงได้เปิดโอกาสให้เธอถ่วงเวลาได้”

สมศักดิ์ก็เอ่ยขึ้นเช่นกัน

“เป็นความผิดของผมเองครับ ที่ไม่สามารถดูแลให้คุณกาญจนาออกไปได้”

กาญจนาไออยู่ครู่หนึ่ง พออาการดีขึ้นก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ร่างกายทั้งร่างโซซัดโซเซ

สภาพดูน่าสงสารกว่าอรุณีที่วางแผนมาอย่างดีถึงสามส่วน

“ฉัน... ฉันไม่ได้ขโมยของของคุณ”

วรพลโยนทิชชูที่ใช้แล้วลงที่ข้างเท้าเธอ

“ไปแต่ตัวหมายความว่ายังไง ไม่เข้าใจเหรอ? ของบนตัวเธอชิ้นไหนบ้างที่ไม่ใช่เงินฉันซื้อ? ยังมีหน้ามาพูดแบบนี้อีกเหรอ?”

กาญจนาไม่คิดว่าเขาจะขี้เหนียวได้ถึงขนาดนี้ แต่นี่ก็เป็นเรื่องจริง

เสื้อผ้าของร่างเดิมถูกอรุณีโยนทิ้งไปตั้งแต่ตอนที่เพิ่งเข้ามาอยู่ใหม่ๆ

ด้วยเหตุผลที่ว่า: มันเชยเกินไป วรพลไม่ชอบแน่ๆ

แต่ความจริงแล้ว วรพลไม่ชอบตัวเธอต่างหาก ต่อให้ร่างเดิมแต่งตัวสวยแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์

กาญจนาเถียงไม่ออก ค่อยๆ ยกมือขึ้นถอดเสื้อผ้า

“ตามที่คุณต้องการ ไปแต่ตัว”

วรพลเห็นท่าทีของเธอ กลับทำเหมือนเห็นของสกปรก รีบเดินจากไป ทิ้งท้ายไว้ประโยคหนึ่งว่า

“สมศักดิ์ โยนเธอออกไป อย่าให้เอาเข็มซักเล่มด้ายซักเส้นของตระกูลวงศ์พัฒนาไปได้ อย่าให้ฉันต้องพูดเป็นครั้งที่สอง”

รอจนเขาไปแล้ว อรุณีถึงกล้าลุกขึ้นยืน เดินเข้าไปเยาะเย้ยว่า

“กาญจนา เธอนี่มันไม่รู้จักยางอายจริงๆ ต่อหน้าคนตั้งเยอะแยะยังกล้าถอดเสื้อผ้ายั่วคุณวรพล ไม่คิดเลยว่าตอนนี้เขาจะรู้สึกขยะแขยงเธอขนาดนี้!”

กาญจนารู้สึกว่าน้องสาวของร่างเดิมคนนี้สมองมีปัญหาจริงๆ หรือไงนะ ดูสีหน้าคนอื่นไม่ออกหรือไง?

ตัวเองเกือบจะถูกบีบคอให้ตายอยู่แล้ว ยังจะมีอารมณ์ไปยั่วยวนอีกเหรอ? บ้าไปแล้วจริงๆ

อรุณีรู้สึกสะใจอย่างยิ่ง ตลอดสองปีที่ผ่านมา กาญจนาเชื่อฟังทุกอย่าง เธอมักจะบอกกาญจนาเสมอว่าผู้ชายชอบผู้หญิงที่รุก ชอบความเร่าร้อน

กาญจนาจึงแต่งหน้าจัดเต็ม และรุกเข้าหาวรพลครั้งแล้วครั้งเล่า

เธอยังบอกอีกว่ากาญจนาผอมเกินไป ผู้ชายชอบคนมีน้ำมีนวล กาญจนาจึงพยายามเพิ่มน้ำหนักอย่างหนัก น่าเสียดายที่นังแพศยานี่กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน บ่อยครั้งที่กินจนอ้วกออกมา ก็ไม่เห็นว่าเนื้อจะเพิ่มขึ้นสักเท่าไหร่

แต่ตอนนี้ทั้งสองคนหย่ากันแล้ว โอกาสของเธอก็มาถึงแล้ว

สมศักดิ์หันหลังให้ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“คุณกาญจนา ถอดเถอะครับ อย่าทำให้พวกเราลำบากใจเลย”

มือของกาญจนายังคงถอดเสื้อผ้าไม่หยุด แต่ก็ไม่ลืมที่จะยิ้มเยาะให้อรุณีอย่างเหยียดหยาม ราวกับว่าตอนนี้เธอไม่ได้กำลังถอดเสื้อผ้า แต่กำลังเตรียมตัวเข้าสู่สนามรบ

รอยยิ้มของเธอทิ่มแทงตาของอรุณีจนเจ็บ

“มองอะไร? นังโง่ ไม่ใช่ว่าคิดจริงๆ ใช่ไหมว่าพยายามแทบตายแล้วจะได้หัวใจของคุณวรพลมา?”

กาญจนาถอดเสื้อท่อนบนออกแล้ว เหลือเพียงชุดชั้นใน เมื่อได้ยินเธอพูดเช่นนั้น การกระทำก็ชะงักไป

“เมื่อก่อนฉันโง่ ถึงได้โดนเธอปั่นหัว แต่เธอคิดว่าฉันหย่าแล้ว เธอจะขึ้นมาแทนที่ได้สำเร็จเหรอ? อรุณี เธอนี่มันถอดแบบมาจากแม่เธอไม่มีผิด ชอบเสนอตัวไปเป็นเมียน้อยคนอื่น”

สองคำนั้นทิ่มแทงอรุณีอย่างจัง เธอเงื้อมือเตรียมจะตบกาญจนา แต่กลับถูกกาญจนารวบไว้ได้

“แก! คุณวรพลไม่ได้ชอบแกเลยสักนิด! อีกอย่างพวกแกก็หย่ากันแล้ว ฉันจะคบกับเขาก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล”

“ดูท่าแม่ของเธอคงจะพร่ำบอกบ่อยสินะว่าการเป็นนายหญิงมันเลิศเลอแค่ไหน แต่ทำอะไรก็ต้องดูตัวเองด้วยว่าคู่ควรหรือเปล่า ลูกนอกสมรสที่ก้าวเข้ามาในบ้านคนอื่นอย่างเธอเนี่ยนะ อยากจะเข้าคฤหาสน์วงศ์พัฒนา? น่าหัวเราะสิ้นดี! คุณสมศักดิ์ ฉันพูดถูกไหมคะ”

กาญจนาเอ่ยเยาะเย้ย เรียกได้ว่าทุกคำพูดทิ่มแทงใจดำ

อันที่จริงถ้าจะพูดถึงสถานะของวรพล เขาก็เป็นลูกนอกสมรสเหมือนกัน แต่เขาเกิดตอนที่ภาคินยังไม่ได้แต่งงาน และแม่ของเขาก็ไม่ได้ทำลายครอบครัวใคร

อรุณีไม่เจียมตัว คิดว่าทั้งคู่ต่างก็เป็นลูกนอกสมรส น่าจะเหมาะสมกันดี แต่ก็ไม่คิดดูเลยว่าตระกูลวงศ์พัฒนาเป็นที่แบบไหน

น่าขำสิ้นดี

สมศักดิ์ไม่อยากฟังเรื่องวุ่นวายระหว่างผู้หญิงอีกต่อไป จึงเอ่ยปากขึ้นว่า

“คุณกาญจนา กรุณาเร็วหน่อยครับ”

อรุณีถูกเธอทำเอาโกรธจนตัวสั่น

“อย่าลืมสิว่าตอนนี้แกหย่าแล้ว คุณย่าก็ไม่อยู่แล้ว ออกจากประตูตระกูลวงศ์พัฒนาไป ก็ไม่มีใครปกป้องแกได้ ถ้าตอนนี้แกคุกเข่าขอร้องฉัน ฉันอาจจะใจดีให้พ่อรับแกกลับบ้านก็ได้”

กาญจนาเจ็บไปทั้งตัว แต่ยิ่งเป็นเวลาแบบนี้ ยิ่งต้องไม่แสดงความอ่อนแอออกมา ถ้าให้อรุณีรู้ว่าตอนนี้เธอไม่สบาย คงจะต้องโรยเกลือบนแผลเธออีกสองกำมือถึงจะพอใจ

“ฉันมีมือมีเท้า ออกจากตระกูลวงศ์พัฒนาไปฉันก็ยังอยู่ได้สบายดี แต่เธอน่ะสิ ตั้งแต่เด็กก็มีปมด้อยเรื่องสถานะของตัวเอง พออยู่ที่บ้านก็ชอบมาระบายอารมณ์ด้วยการรังแกฉันเพื่อสนองความต้องการทางจิตที่วิปริตของเธอ”

กาญจนาหยุดพูดไปครู่หนึ่ง เหงื่อเม็ดโตไหลลงมาจากขมับ เธอฝืนยิ้มอย่างซีดเซียวและเย้ยหยัน

“พอฉันแต่งงาน เธอก็อยากจะเดินตามรอยแม่ของเธอ แต่ว่าวรพลไม่เล่นด้วย เธอก็เลยมาลงที่ฉัน ทำให้เขาเกลียดฉันมากขึ้นเรื่อยๆ วันนี้ถ้าฉันตายที่นี่ ก็คงต้องยกความดีความชอบให้เธอไม่น้อยเลย”

อรุณีสะบัดมือเธอออกอย่างแรง ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธที่ถูกเปิดโปง ไม่สนใจว่ามีใครอยู่ข้างๆ ตบเข้าไปเต็มแรง

“เพียะ” แรงตบนั้นทำให้กาญจนาล้มลงไปกองกับพื้น

“กาญจนา แกทำเป็นสูงส่งอะไรนักหนา? นังโง่ก็ไปตายซะสิ! ออกจากตระกูลวงศ์พัฒนาไปแกก็ไม่มีค่าอะไรเลย ยังกล้ามาอวดดีอีกเหรอ?”

กาญจนารู้สึกเพียงว่าใบหน้าแสบร้อนไปหมด แต่อรุณีไม่คิดจะปล่อยเธอไป กระชากผมของเธอขึ้นมา

แต่สายตาของกาญจนากลับลุกโชนเป็นพิเศษ จ้องมองเธอเขม็ง ราวกับกำลังมองมดตัวหนึ่ง

“วันนี้ฉันจะทำให้แกรู้ ว่ามายุ่งกับฉันแล้วจะเป็นยังไง!”

บทก่อนหน้า
บทถัดไป